เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

เมื่อวานเขาถาม พวกไฟฟ้ามานะ เขาบอกว่า “คนเรามันก็รู้ดีรู้ชั่ว ทำไมมันหักห้ามใจไม่ได้ล่ะ” ดูสิ เซนเขาสอนนะ การประพฤติปฏิบัตินะ ละความชั่ว ทำความดีทั้งนั้นนะ นี้ทำไมถึงทำไม่ได้..

เราบอกว่า “ทำไม่ได้เพราะไม่มีการฝึกฝน เพราะเราขาดการฝึกฝน” เรารู้ดีรู้ชั่วอยู่นะ แต่เราไม่มีการฝึกฝน เราไม่เคยฝึกเอาไว้เลย เราไม่เคยต่อต้านกับความรู้สึกของเราเลย เห็นไหม เขาเรียกว่า ไอคิว อีคิว

ถ้าเรายับยั้งใจเราไม่ได้ แล้วเราก็รู้ดีรู้ชั่วอยู่ แต่ทำไมมันยับยั้งใจไม่ได้ล่ะ เห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรานี่มันทำมา มันเคยใจ ความเคยใจนี่มันต้องฝึกฝนไง นี้การฝึกมันต้องฝึกไง ตั้งสติไว้ ถ้าตั้งสติแล้วยับยั้งมันได้

ถ้ายับยั้งมันไม่ได้มันเผารนเรานะ แล้วถ้าเผารนมันก็มีเรื่องของกรรมด้วย กรรมเห็นไหม ความดีของใคร คนดีทำความดีได้ง่าย ทำความชั่วได้ยาก คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย ทำความดีได้ยาก เพราะว่าความเคยชิน เพราะมันไหลไปตามความรู้สึก ไหลไปตามใจของตัว แล้วตัวเองก็ว่าเป็นความดี ความดี ความดีของใคร ?

ถ้าความดีของกิเลส กิเลสมันก็เป็นดีของมันเห็นไหม โลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าโลกมันเป็นอย่างนี้ ศาสนาเห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นของจริง ได้พิสูจน์มาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปรารถนาพุทธภูมิ เห็นไหม พระโพธิสัตว์ต้องพยายามรื้อค้น พยายามฝืนมาตลอดนะ สร้างบุญญาบารมีมา การสร้างคุณงามความดีมา เห็นไหม เราบอกความดีอยู่ที่ไหน ทำดีแล้วทำไมคนเขาไม่เห็นความดีของเรา

เรายังไม่เห็นความดีของเราเลย เพราะเรายังทุกข์ยาก เรายังไม่เข้าใจความดีของเราไม่ชัดเจนเลย แล้วคนอื่นจะมาเข้าใจความดีของเราได้อย่างไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาแล้ว เวลาเผยแพร่ธรรมขึ้นไปนี่ยังมีคนโต้แย้ง มีคนขัดขวาง มีคนไม่เห็นด้วยมากมายมหาศาลเลย ทั้งๆ ที่เป็นความจริง ความดีนั่นแหละ แต่ความดีมันไปขัดแย้งกับความไม่ดีในหัวใจของเรา เราเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความดี

โดยทางโลกเขาว่ากันเห็นไหม ว่าไปวัดไปวานี่ไปแล้วเสีย มันไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แต่ถ้าเขาไปตามแสวงหาของเขา เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เขาว่าเขาได้ประโยชน์ของเขานะ ประโยชน์อย่างนี้มันเป็นประโยชน์ของโลกๆ นะ

แต่ประโยชน์ของเราเห็นไหม เราใช้คำว่า “แพ้เป็นพระ” อีกแล้ว ว่าแพ้เป็นพระนะ ความว่าแพ้เป็นพระนี่ไม่ใช่แพ้โดยความจำนน แพ้โดยไม่มีความรู้สึก แพ้เป็นพระคือก้อนหินแล้วยอมให้เขาทุบให้เขาทำลาย ไม่ใช่อย่างนั้น !

คำว่าแพ้เป็นพระนี่เราเข้าใจเรื่องเวรเรื่องกรรมแล้วเรารักษาใจของเรา แล้วเราแก้ไขไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างนั้น ถ้าเฉพาะหน้าอย่างนั้น สิ่งที่เกิดมานี่จะตีโพยตีพายขนาดไหน มันก็ต้องเกิดเรื่องอย่างนั้น

แต่ถ้าเรายอมรับความเป็นจริงนะ เรื่องเกิดอย่างนั้นแต่มีสติปัญญาของเรา เราแก้ไขของเรา นี่แพ้เป็นพระ มันไม่แสดงอาการออกโดยที่จะต้องให้เสมอกัน ให้ทางโลกเขายอมรับกัน นั่นเป็นเรื่องของโลกไง

เราทำความดีของเรา เห็นไหม ถ้าทำความดีของเรานี่ปิดทองหลังพระ เราปิดทองก้นพระเลย ทำความดีของเรา ดูอย่างพ่อแม่นี่ ความรักของพ่อแม่รักลูกนี่ ความรักของพ่อแม่สะอาดบริสุทธิ์นะ เพราะพ่อแม่ไม่ต้องการหวังสิ่งตอบแทนใดๆ จากลูกเลย เห็นไหม เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วความรักของครูบาอาจารย์เราล่ะ..

ครูบาอาจารย์นะ ความรักของพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงดูมาทั้งภพชาตินี้ แต่ครูบาอาจารย์เลี้ยงดูมา เห็นไหม เลี้ยงดูมาคือให้ปัจจัยเครื่องอาศัยมีอยู่ในชาตินี้อยู่แล้ว แต่ว่าถ้าจิตใจมันทำได้เห็นไหม นี่จิตใจนี้มันมาจากไหน

ดูสิ เวลาพ่อแม่เลี้ยงลูก ลูกของเราก็มีความคิดหลากหลายออกไป ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน จริตนิสัยของลูกศิษย์มันก็แตกต่างกันไป จริตนิสัยของคน เห็นไหม จริตนิสัย นี่ไงจะบอกเขาก็รู้ว่าความดีความชั่วทำไมมันละไม่ได้

จริตนิสัยนี่มันฝังมา พอมันฝังมาพ่อแม่ก็ต้องรักษาลูกเราไปตามแต่ เห็นไหม พยายามฝึกพยายามแก้ไข นี่ก็เหมือนกัน พยายามแก้ไขนะ นี่แก้ไขเรื่องจริตนิสัยเพื่อความดำรงชีวิตในสังคม

แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเอาชนะตนเอง แก้ไขเราเพื่อประโยชน์สังคม เห็นไหม ดูสิ มันขัดแย้ง มันไม่พอใจขนาดไหน แต่ก็เพื่อสังคมมันก็ยอมรับได้ แต่ถ้าหัวใจนะมันต้องเอาชนะกิเลสของเราในหัวใจเลย ครูบาอาจารย์ต้องทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ จิตใจของลูกศิษย์ที่มันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ทำอย่างไรจะให้จิตสงบเข้ามา

ถ้าจิตไม่สงบเข้ามานะ มันจะไปเห็นฐานของความคิดได้อย่างไร ความคิดทั้งหลายต่างๆ เกิดจากจิต เกิดจากภวาสวะ เกิดจากฐีติจิต ความรู้สึกความเห็นต่างๆ มันมีที่เกิดที่กำเนิดของมัน แต่ความคิดของเราเกิดขึ้นมาเรายังควบคุมไม่ได้เลย ความดีความชั่วที่มันเกิดขึ้นมาในใจเรายังควบคุมมันไม่ได้เลย แล้วมันเกิดมาที่ไหนเรายังไม่เห็นมันเลยเห็นไหม

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อไปสู่ฐานความคิดอันนั้น ถ้าเข้าไปสู่ฐานความคิดอันนั้นแล้วไปแก้ไขที่นั่น เห็นไหม มันยากกว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกกี่เท่า พ่อแม่เลี้ยงลูกในสังคมนี้ให้อยู่กับเขาเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อมีจุดยืนอยู่ในสังคม

แต่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเข้าไปเห็นตัวตน เห็นที่มาของความคิดแล้วพยายามดัดแปลงมัน เราพยายามแก้ไขมัน ควบคุมมัน ถ้าควบคุมได้มีสัมมาสมาธิ ควบคุมได้แล้วแก้ไขดัดแปลงด้วยวิปัสสนาญาณ เห็นไหม

ทัศนคติ.. เขาว่าญาณทัศนะคือทัศนคติ ทัศนคติก็คือทางโลกไง แต่ญาณทัศนะไม่ใช่ทัศนคติ เพราะทัศนคติมันเกิดจากตัวตน เกิดจากภพ ทัศนคติมันคือจริตนิสัย ญาณทัศนะนี่มันญาณหยั่งรู้ ญาณเข้าไปแก้ไขภวาสวะ แก้ไขที่ภพ แก้ไขที่หัวใจอันนี้ มันไม่ใช่ทัศนคติ! มันเป็นญาณทัศนะ ญาณหยั่งรู้

ทัศนคติคือความคิดที่เกิดจากจิต แต่ญาณที่มันหยั่งรู้ ญาณเกิดจากอะไร ความรู้สึกความสงบมันเกิดจากอะไร ก็เกิดจากจิต มันต้องเกิดจากจิตแล้วไปแก้ไขที่จิตนั้น ญาณทัศนะ เห็นไหม เขาเข้าใจว่าทัศนะคติ

สิ่งที่มันรู้เฉยๆ ถ้าคนเข้าไม่ถึงตัวจิต เข้าไม่ถึงฐานของจิต เข้าไม่ถึงฐีติจิต การพูดการจา การแสดงธรรมออกมามันเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นอาการของใจ

ถ้าอาการของใจก็เหมือนกับโลกนี่ไง โลกคิดมาจากใจ โลกนี้ความเห็นของใจ เรื่องของโลกคือโลกทัศน์ โลกทัศน์มันเกิดจากไหน นี่เห็นไหม ว่าโลกนี่โลกหมู่สัตว์ โลกนี้เดือดร้อนกันนัก โลกนี้สภาวะแวดล้อมของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไป

แต่สภาวะแวดล้อมของจิตล่ะ เห็นไหม โลกทัศน์ ความเห็น ฐีติจิต นี่ที่ว่าโลกนี้มีอยู่เพราะมีเรา เพราะมีเราโลกมันเป็นโลก โลกมันเป็นข้างนอกนะ แต่เราก็เป็นโลกหนึ่งนะ มนุษย์ก็สัตว์โลก สัตตะผู้ข้อง เราข้องจิต เราข้องกับความรู้สึกของเรา ความรู้สึกที่เจ็บแสบปวดร้อนในหัวใจ ความสุขความทุกข์ในหัวใจนี่ เราเกี่ยวข้องกับมันเห็นไหม

แต่พื้นฐานนะ วิมุตติสุข สุขลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งคือตัวจิต ตัวความพอของมัน ตัวจิตของมันแล้วออกมาเป็นดีและชั่ว เราไปดีเราก็ว่าเป็นสุข ชั่วเราก็เป็นทุกข์ นี่ความไม่พอใจเห็นไหม นี่เป็นอาการที่ความรู้สึก เป็นอาการที่ความคิด เราไปติดที่ความคิด

แต่พอมันปล่อยวางขึ้นมา เหงาๆ เศร้าๆ สร้อยๆ เห็นไหม นี่อาลัยอาวรณ์ของจิตไง เวลามันทิ้งความคิดมาหมดแล้วนะ ตัวมันเองนะก็ไปไม่รอด พอตัวมันเอง ตอของจิตเห็นไหม มันเหงา มันเศร้า มันสร้อยของมัน แล้วทำอย่างไรให้มันเบิกบาน ทำอย่างไรให้มันมีสติขึ้นมาล่ะ ถ้ามีสติขึ้นมา มีความเบิกบานขึ้นมา เห็นไหม มันต้องมีสตินะ

สิ่งที่มีสติ เวลาเขาบอกว่า “คนเราก็รู้ๆ อยู่ ดีชั่วนะ ทำไมมันฝืนไม่ได้” มันฝืนไม่ได้เพราะมันไม่ได้ฝึกฝน มันไม่เข้าใจของมันไง ถ้าไม่เข้าใจน่ะมันคิดแต่ขาดทุนทั้งนั้น มันไม่คิดว่ามันจะได้กำไร เห็นไหม สิ่งที่เราคิดแต่ขาดทุน มันไม่พอใจของมัน มันเดือดร้อนไปตลอดเวลา เสียศักดิ์ศรี ก็ว่าเขาเอา เห็นไหม

ถ้านั้นคำว่าแพ้เป็นพระนี่ มันไม่ขาดทุนของมัน เรากำไร เพราะเรารู้เท่า แต่ความกระทบดีและชั่วที่เกิดจากจิต ความดีและชั่วเกิดจากจิต เกิดจากฐีติจิต เกิดจากความคิด เกิดจากฐานของจิต แล้วความคิดดีและชั่วของเขานี่ เขาแสดงออกมาแล้ว เรารู้ทันของเราเห็นไหม เราลึกกว่า

นี่แพ้เป็นพระ พระคือผู้ประเสริฐ หัวใจเป็นผู้ที่ประเสริฐ เห็นไหม พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเป็นผู้ประเสริฐ เราควบคุมใจของเราได้ เราเหนือโลกไง เราเหนืออารมณ์ความรู้สึก เราเหนือทุกอย่าง นี่มันควบคุมได้ ถ้าควบคุมได้ เราจะทำอย่างนั้นไหม

ถ้าเรามีความจำเป็น เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่ หมอชีวกเป็นหมอประจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จิตที่มันพ้นไปแล้วนี่ มันคือเรื่องของจิตที่พ้นไปแล้ว แต่เรามีร่างกาย เรามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี้มันต้องมีอาหารหล่อเลี้ยงมันไป

เราอยู่ในสังคมโลกเราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ นี่เป็นสิ่งดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ขาดปัจจัย ๔ ไม่ได้ ในเมื่อขาดปัจจัย ๔ ไม่ได้เราต้องหาสิ่งนี้มา ถ้าหาสิ่งนี้มาน่ะ หามาด้วยความเป็นธรรม ถ้าจิตใจเราสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาน่ะ ทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จ จะมีผู้เจือจานตลอดไป เห็นไหม ถ้ามันขัดสนขัดแย้งต่างๆ นี้ อันนี้มันถึงเวลา

คนเราชีวิตทั้งชีวิตน่ะมันก็มีลุ่มๆ ดอนๆ เป็นธรรมดา นี้ถ้าเรามีสติ มีปัญญาของเรา เรายับยั้งของเรา ทำถึงจะลุ่มๆ ดอนๆ ถ้ามันขึ้นที่ดอนมันสูง มันก็มีความพอใจของเรา ถ้ามันลงลุ่มลงต่ำ เราก็พยายามอยู่ในคุณงามความดี อยู่ในศีลในธรรมของเรา เราฝืนลงไป ถ้ามันถึงที่สุดมันต้องผ่านพ้นวิกฤตอันนี้ไป ชีวิตคนเรามันจะทุกข์ตลอดไปเหรอ..

ทำไมมืดแล้วมีสว่างล่ะ มืดแล้วมีสว่าง สว่างแล้วมันก็มีมืด เห็นไหม ชีวิตของเรามันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ เราสร้างคุณงามความดีมา ทำดีต้องได้ดี กลิ่นของศีลหอมทวนลม เราทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี เราทำดีของเราปิดทองหลังพระ แต่ไม่มีใครเห็น แต่เรารู้ของเรา เทวดา อินทร์ พรหม ต้องรู้กับเรา ความดีคือความดี ทำดีที่ไหนก็คือความดี จะทำอยู่ใต้บาดาลก็เป็นความดี จะปิดทองหลังพระก็คือความดี แล้วเป็นความดีสะอาดบริสุทธิ์ด้วย

เวลาครูบาอาจารย์บอก เวลาจะทำบุญกุศลให้ทิ้งเหว ทิ้งเหวคือว่าเราไม่ติดข้องสิ่งใดเลย คำว่าติดข้องมันจะทำได้อย่างไร มันเจตนาทำคุณงามความดี ทำแล้วก็แล้ว ทำแล้วก็จบไป แล้วความดีมันจะสะสมไป แล้วทำความดีเห็นไหม สิ่งที่ดี กรรมของคนมันมี

สิ่งที่กรรมของคนมันมี สิ่งต่างๆ ที่มันมีกรรมเก่า กรรมใหม่เห็นไหม กรรมเก่ามันมาอย่างนี้แล้วมันก็ทุกข์ยากขนาดนี้แล้ว แล้วถ้าเรายังไม่ทำอยู่ ไม่ฝืนมันจะไปขนาดไหน นี่ขนาดฝืนทนแล้วมันยังมาได้ขนาดนี้ ก็ต้องฝืนทนไป นี่ฝืนทนจากทางโลกๆ นะ

แล้วฝืนทนของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั่งสมาธิภาวนา ๒๔ ชั่วโมง เห็นไหม นั่งสงบนี่บังคับมันไว้ นี่ไงการฝึกไง หลวงตาท่านพูดประจำนะ “ถ้ามันจะไป มันต้องการของมัน ถ้าเราไม่ฝืนมันเลยน่ะ มันจะทำอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ”

ถ้าเราฝืนมัน มันจะไป บอกไม่ไป มันทำไมไม่ไป แล้วมันเป็นทิฏฐิไหม ทิฏฐิมันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิที่ความถูกต้องที่คุณงามความดี ความดีงามมันต้องมีการกระทำ ความดีงามมันลอยมาจากฟ้าเหรอ สติมันเกิดมาจากฟ้าเหรอ ทุกอย่างมันก็เกิดมาจากการกระทำ เกิดมาจากจิต เห็นไหม

ความดีความชั่วเกิดจากจิต ความดีนี่ ความดีก็เกิดจากจิต ความสุขก็เกิดจากจิต ความทุกข์ก็เกิดจากจิต มันเกิดจากจิตทั้งหมดเลย แต่เราไปตะครุบเอาเงามัน แต่เวลามันเข้ามาถึงเป็นตัวของจิตล่ะ ถ้าเข้ามาถึงจิตเห็นไหม มีสติสัมปชัญญะยับยั้งมันไว้

สิ่งที่ยับยั้ง นี่ไงกรรมดีกรรมชั่วเป็นอันหนึ่ง ตัวจิตที่กรรมดีกรรมชั่วที่อยู่บนจิต กิเลสที่มันครอบงำจิตอันหนึ่ง เรามีสติปัญญาของเรา เราจะแก้ไขของเรา สิ่งนี้มันเป็นอาการจากภายนอก

อนาถบิณฑิกเศรษฐีเวลาจะนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เอาเงินเอาทองปูแผ่นดิน ซื้อเชตวันถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ถึงเวลาที่ว่ามันมีเวรกรรมขึ้นมา ต้องกินข้าวน้ำผักดองเลย แต่ก็ทนได้นะ

เทวดาทนไม่ไหวนะ “เห็นไหม ทำบุญ ทำบุญน่ะ มันหมดเนื้อหมดตัวเห็นไหม มันทุกข์ยากขนาดนี้ยังทำบุญอีกเหรอ” อนาถบิณฑิกเศรษฐีไล่เทวดาออกไปเลย เทวดามาอยู่บนซุ้มประตู เห็นไหม สุดท้ายแล้วด้วยบุญกุศล ด้วยการที่อดทน ก็กลับฟื้นมาเป็นเศรษฐีเหมือนเดิม

คนเรามีลุ่มๆ ดอนๆ นะ มันไม่เหมือนกัน คนเราถ้าสร้างคุณงามความดีมา ความดีมันจะหนุนนะ กรรมเก่ากรรมใหม่ “ทำไมคนรู้ว่าดีและชั่ว ทำไมฝืนไม่ได้ รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นความชั่วทำไมฝืนทำ” เขาถามไง

ความดีความชั่วเกิดจากเวรจากกรรมอันหนึ่งนะ มันเป็นจริตนิสัยที่เราฝึกฝนมาในใจของเรา ถ้ามันมีสิ่งที่ฝืนทนมาน่ะ แล้วมาในพระพุทธศาสนาๆ บอกว่ามีสติสัมปชัญญะแล้วฝืนเอา นี่เห็นไหมอาหารอยู่ข้างนอก ทุกอย่างอยู่ข้างนอก ถ้าเราไม่ได้กิน ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ มันก็ไม่เป็นประโยชน์กับเรา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์จริงๆ สีเลนะสุคะติงยันติ สีเลนะโภคะสัมปทา ศีลทำให้มีโภคทรัพย์ ศีลทำให้มีความสุข โภคทรัพย์นะ เราใช้จ่ายประหยัดมัธยัสถ์นี่โภคทรัพย์มันเกิด โภคทรัพย์มันเกิดเพราะเราไม่ฟุ่มเฟือย เราใช้เป็นประโยชน์ เห็นไหม มีแต่ความสุข ความสุข

เพราะถ้าคุณงามความดีแล้วนี่.. มือของเราไม่มีแผลเลยน่ะ เรามีความองอาจกล้าหาญมาก เราอยู่ในศีลในธรรมน่ะ เราอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ได้เห็นไหม นี่ศีลธรรม เรามาเจอคุณงามความดีแล้วน่ะ สิ่งที่มันเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่มันมีอะไรแอบแฝงในใจมันเป็นเรื่องธรรมดา มีทุกคนน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะออกบวช ละล้าละลังเลยนะ ราหุลเกิดแล้วน่ะ คนที่รัก เห็นไหม สายเลือดทำไมมันจะไม่อาลัยอาวรณ์ สายเลือดทำไมจะไม่รัก ฝืนนะ ฝืนใจออกมาจนประพฤติปฏิบัติอีก ๖ ปี สุดท้ายแล้วไปเอาสามเณรราหุลมาบวชแล้วได้เป็นพระอรหันต์หมดเลยเห็นไหม นี่มันต้องลงทุน มันต้องมีการกระทำ มันจะเกิดลอยมาจากฟ้าไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมาทั้งนั้นเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา

แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา หน้าที่การงานก็เรื่องหนึ่ง เวลาจะบังคับใจตัวเองก็เรื่องหนึ่ง ความดีความชั่วก็รู้กันอยู่ ตั้งสติแล้วพยายามฝืนทนมัน ฝืนๆๆ ฝืนจนป็นจริตเป็นนิสัย ฝืนจนเราชนะมัน ฝืนจนเราควบคุมมันได้ ฝืนเป็นสมบัติของเราเลยเห็นไหม เอวัง